1. Eyelets – แบบนี้จะเป็นที่นิยมใช้กันมากที่สุด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูกลม ๆ สำหรับร้อยเชือก รูร้อยเชือกรองเท้าแบบนี้จะมีข้อเสียที่ความแข็งแรง ซึ่งอาจจะมีการฉีกขาดได้ง่ายถ้าได้รับแรงดึงจากเชือกรองเท้ามาก เพราะรูนี้จะรับแรงดึงจากเชือกรองเท้ามาก
2. D-rings – จะเป็นการใช้ห่วงเหล็กรูปตัว D แทนรูกลม ๆ ธรรมดา ซึ่งเราจะร้อยเชือกรองเท้าผ่านตัว D รูร้อยเชือกรองเท้าแบบนี้จะมีความแข็งแรงกว่าแบบ Eyelets เพราะทำด้วยโลหะสามารถรับแรงได้ดีกว่า แต่ก็จะทำให้รองเท้าหนักขึ้น จากน้ำหนักโลหะที่เพิ่มขึ้นมา
3. Pulleys or Bearings – เป็นการใช้เหล็กสำหรับเกี่ยวเชือกรองเท้า แทนที่จะใช้การร้อยผ่านห่วงหรือรู ซึ่งข้อดีคือสามารถร้อยเชือกรองเท้าได้ง่าย เพราะทำการเกี่ยวเอาก็พอ ไม่ต้องเสียเวลาในการร้อยเข้าไปทีละรู แต่การใช้รูร้อยเชือกรองเท้าแบบนี้ก็อาจจะทำให้เชือกรองเท้าหลุดง่าย เพราะเชือกเพียงแค่เกี่ยวเอาไว้เท่านั้น
4. Webbing - เป็นการใช้ผ้าทำเป็นห่วงสำหรับร้อยเชือกรองเท้า ซึ่งเหมาะสำหรับรองเท้าที่ไม่ได้ใช้งานหนักมากนัก รองเท้าที่มีรูร้อยเชือกแบบนี้มักจะมีน้ำหนักเบาและไม่หุ้มขึ้นมาสูงมาก ส่วนมากจะอยู่ประมาณข้อเท้าหรือต่ำกว่าเล็กน้อย รอบบริเวณห่วงที่ผูกเชือกรองเท้าจะมีลักษณะเรียว ให้ความรู้สึกสบายบริเวณรอบข้อเท้า นิ้วเท้า และหลังเท้า รองเท้าประเภทนี้ส่วนใหญ่จะมีห่วงร้อยเชือกด้านหน้าด้วย การใช้ผ้าทำเป็นห่วงร้อยเชือกแบบนี้ช่วยทำให้เท้าไม่ถูกกดทับจากห่วงเหล็ก และให้ความรู้สึกสบายเท้ามากกว่า
5. Combination – เป็นการใช้รูร้อยเชือกแบบผสม คือมีมากกว่า 1 แบบในรองเท้าคู่เดียวกัน อันเนื่องมาจากจุดแต่ละจุดบนรองเท้าที่เราทำการร้อยเชือก จะรับแรงไม่เท่ากัน ผู้ผลิตรองเท้าบางยี่ห้อ ก็มีการคำนวณถึงแรงในแต่ละจุด และทำการเลือกเชือก รูร้อยเชือก ให้เหมาะสมกับแรงที่เกิดขึ้นในจุดนั้น ๆ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_20.html
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น