ข้อดีและข้อเสียของการใช้เปล

นักเดินทางหลายท่านอาจจะไม่ชอบนอนเปล ทั้ง ๆ ที่เปลในปัจจุบันได้มีพัฒนาให้นอนสบายขึ้นเมื่อก่อน สาเหตุหลักคือความเคยชินในการนอน เรามักจะนอนบนเตียงที่มีพื้นที่ให้กลิ้งกันมาตลอดชีวิต แต่เปลนั้นไม่มีพื้นที่ให้เราทำอย่างนี้ได้ ทำให้ผู้นอนอาจจะเกิดความอึดอัดเหมือนกับนอนในที่แคบ ๆ ครั้งแรกที่ผมเคยนอนเปลก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน โดยสรุปคือระบบของเปลจะคล้ายกับเต็นท์คือมีที่นอนและผ้ากันฝน แต่ระบบการนอนของเราจะเปลี่ยนไป แทนที่จะเอาหลังแนบกับพื้นดิน ก็เอาหลังแนบกับพื้นเปลซึ่งลอยบนอากาศแทน

นอกจากนี้ยังมีบางสถานการณ์ที่เราไม่สามารถใช้เปลได้ เช่น พื้นที่ที่ไม่มีต้นไม้ให้ผูกเปล บนยอดดอยหลายแห่งจะเป็นพื้นที่ราบ ไม่มีต้นไม้ใหญ่ แน่นอนว่าไม่สามารถผูกเปลได้ หรือในสถานที่อากาศเย็นมาก การนอนเปลอาจจะไม่ได้รับความอบอุ่นได้เท่ากับเต็นท์

ฉะนั้นการที่เราจะใช้เปลหรือไม่ก็ขึ้นกับสถานการณ์ สภาพพื้นที่ และความเคยชินของผู้ใช้ ซึ่งเราจะมาลองดูข้อดี ข้อเสียของเปลกัน เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจว่าควรหันมาใช้เปลดีหรือไม่

ข้อดีของเปล

  • เต็นท์อาจจะทำให้ส่งผลกระทบ
    ต่อพืชหรือสัตว์ในบริเวณนั้น
    น้ำหนัก เบา – เปลจะมีน้ำหนักน้อยกว่าเต็นท์ ซึ่งทำให้เราไม่ต้องแบกสัมภาระที่หนักเกินไป แต่ปัจจุบันก็ได้มีเต็นท์แบบนอนคนเดียว ซึ่งหากลองเทียบน้ำหนักระหว่างเต็นท์ประเภทนี้กับเปล+ฟลายชีส ก็ต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • ติดตั้งและจัดเก็บง่าย – การติดตั้งแต่เพียงแค่ผูกเชือกบริเวณหัวและท้ายเปลเท่านั้น ซึ่งสามารถติดตั้งและจัดเก็บได้รวดเร็วมาก
  • รักษาสภาพแวดล้อม – การผูกเปลนั้นเราจะใช้แค่เชือกผูกกับต้นไม้ ซึ่งจะไม่ทำให้ต้นไม้เกิดความเสียหาย หากเป็นการกางเต็นท์พื้นดินบริเวณนั้นจะถูกเต็นท์ทับ ซึ่งอาจจะส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่พืชบริเวณนั้นได้
  • สามารถใช้ในสภาพพื้นที่ได้หลายชนิด – เราสามารถผูกเปลได้แม้ว่าสภาพพื้นดินด้านล่างมีระดับลาดเอียง หรือมีก้อนหินไม่เรียบ เพราะหลังของเรานั้นจะสัมผัสกับเปลที่ลอยอยู่บนอากาศ ฉะนั้นสภาพพื้นดินจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวข้อง หากนอนเต็นท์บนสภาพพื้นที่ไม่ดีก็จะทำให้นอนไม่สบาย
  • ใช้ประโยชน์ได้หลายแบบ – นอกจากจะใช้สำหรับนอนแล้ว เรายังสามารถใช้ประโยชน์เปลในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก เช่น เป็นเก้าอี้นั่งพัก เป็นต้น

ข้อเสียของเปล

  • เปลต้องอาศัยต้นไม้ในการผูก
    การนอนเปลหลายชั้น อาจจะเกิด
    ความสั่นสะเทือน และมีโอกาส
    ตกจากที่สูงได้
    ไม่ สามารถผูกเปลได้ ถ้าไม่มีต้นไม้ - การผูกเปลต้องใช้ต้นไม้อย่างน้อย 2 ต้น หากบริเวณที่เราเดินทางไปไม่มีต้นไม้ก็ไม่สามารถผูกเปลได้ บางคนอาจจะคิดว่าในป่าต้องมีต้นไม้ให้ผูกเปลแน่ อันนี้ไม่เป็นความจริงเสมอไป เพราะสภาพภูมิประเทศแต่ละแห่งนั้นไม่เหมือนกัน
  • ให้ความอบอุ่นได้น้อยกว่าเต็นท์ – การนอนเปลนั้นเราจะอาศัยผ้าใบหรือฟลายชีสไว้กันลม ซึ่งฟลายชีสนั้นไม่ได้คลุมปิดหมดเหมือนกับเต็นท์ ทำให้ลมมีโอกาสลอดผ่านมาได้
  • มีโอกาสที่จะตกจากที่สูงได้ – การนอนเปลมีโอกาสที่จะตกจากเปลได้ เช่น การกลิ้งตกจากเปล หรือต้นไม้หัก บางครั้งนอนอยู่ดีดีต้นไม้ก็หักขึ้นมา ทำให้คอนโดที่สร้างไว้ถล่มลงมาก็มี แต่นาน ๆ ก็จะเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้สักที ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกทำเลในการผูกเปลด้วย หากเป็นการนอนเต็นท์รับรองไม่มีการตกลงมาแน่
  • พื้นที่ในการวางสิ่งของน้อย – สัมภาระของเราจะต้องวางไว้ใต้เปล หากฝนตกก็อาจจะทำให้สัมภาระเปียกถ้าไม่มีการป้องกันที่ดีพอ และหากบริเวณนั้นมีคนมาก สิ่งของที่วางไว้ก็มีโอกาสจะสูญหายได้ เพราะดึก ๆ ถ้ามีคนแอบมาหยิบบางครั้งก็ไม่รู้ตัว หากเป็นเต็นท์สิ่งของก็มักจะวางไว้ภายในเต็นท์ หากใครจะเข้าไปหยิบต้องรูดซิปมุดเข้าไป ซึ่งมีโอกาสที่จะนำสิ่งของไปยากกว่า
  • การเกิดความสั่นสะเทือนหากผูกเปลหลายชั้น – บางครั้งเราจำเป็นที่ต้องผูกเปลซ้อนกันหลายชั้นซึ่งเรามักจะเรียกกันง่าย ๆ ว่าคอนโด อาจจะเนื่องจากสภาพพื้นที่ที่ให้ผูกเปลมีน้อย ซึ่งเวลานอนหากคนด้านบนต้องการลงมาเข้าห้องน้ำคนข้างล่างก็มักจะตื่นด้วย เพราะคนข้างบนต้องเหยียบเปลคนข้างล่างขึ้นไป และการขยับตัวก็ก็จะเกิดความสั่นเทือนทำให้รู้สึกตัวกันทั้งคอนโด
thank http://www.mrbackpacker.com/gear/gear_45.html

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น